วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช 

พระบรมนามาภิไธย : พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช
พระปรมาภิไธย : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร[1]
พระราชอิสริยยศ : พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
ราชวงศ์ : ราชวงศ์จักรี
ครองราชย์ : 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489
บรมราชาภิเษก : 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493
สวรรคต    : 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 (88 พรรษา) โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
รัชกาลก่อนหน้า : พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
วัดประจำรัชกาล : วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก
พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร : พระพุทธรูปปางอภัยมุทรา พุทธลักษณะสุโขทัย
ข้อมูลส่วนพระองค์
พระราชสมภพ : 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 / เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา
พระบรมราชชนก : สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
พระบรมราชชนนี : สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระบรมราชินี : สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ



พระราชโอรส/ธิดา

1 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
2 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร
3 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี
4 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี


   



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พระราชสมภพ: 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470) เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสู่พระราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ขณะนี้ จึงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์นานที่สุดในโลกที่มีพระชนมชีพอยู่ และยาวนานที่สุดในประเทศไทย

พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากระบอบทหารเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยได้โดยตลอดรอดฝั่งในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2530

 และได้ทรงหยุดยั้งการกบฏ เช่น ในคราวปี 2524 และปี 2528 กระนั้น ก็ได้ทรงแต่งตั้งหัวหน้าคณะยึดอำนาจหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2500 กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน

ในช่วงปลายพุทธทศวรรษที่ 2540 ตลอดรัชสมัยของพระองค์จนถึงปี พ.ศ. 2555 ได้เกิดการรัฐประหารโดยกองทัพมากกว่า 15 ครั้ง รัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ และนายกรัฐมนตรี 28 คน

ประชาชนชาวไทยจำนวนมากเคารพพระองค์ อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะและผู้ใดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาว่า การดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นความผิดอาญา

คณะรัฐมนตรีหลายชุดที่ได้รับการเลือกตั้งมาก็ถูกคณะทหารล้มล้างไปด้วยข้อกล่าวหาว่านักการเมืองผู้ใหญ่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กระนั้น พระองค์เองได้ตรัสเมื่อปี 2548 ว่า สาธารณชนพึงวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ได้

พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดำริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์กับทั้งพระองค์ยังทรงเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจำนวนหนึ่งด้วย

ด้านสินทรัพย์ของพระองค์นิตยสารฟอบส์ประเมินว่า พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ รวมถึงสินทรัพย์ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จัดการอยู่นั้น มีมากกว่าสามหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐทั้งได้จัดอันดับให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์มากที่สุดในโลก 3 ปีติดต่อกันมาจนปัจจุบัน

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นใช้สินทรัพย์เพื่อสวัสดิการสาธารณะ เช่น เพื่อพัฒนาเยาวชน แต่ได้รับการยกเว้นมิต้องจ่ายภาษีและให้เปิดเผยการเงินต่อพระมหากษัตริย์แต่พระองค์เดียว

ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็ได้ทรงอุทิศพระวรกายและพระราชทรัพย์ไปในโครงการพัฒนาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้ำ สวัสดิการทางคมนาคม และสวัสดิการสาธารณะ อนุสรณ์ถึงพระองค์นั้นพบได้ดาษดื่นในสื่อมวลชนไทย

นับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2552 พระองค์แปรพระราชฐานจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ไป โรงพยาบาลศิริราช อันเนื่องมาจากพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ

ในเดือนตุลาคม ปีเดียวกันนั้น ข่าวลือว่าพระอาการประชวรทรุดหนักลง ได้ยังให้ตลาดหุ้นไทยร่วงลงอย่างสาหัส พระองค์ทรงหายจากประชวรเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 




พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระนามเดิมว่า “ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาล (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย เป็นสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น ( MOUNT AUBURN) รัฐเมสสาชูเขตต์ ( MASSACHUSETTS) ประเทศสหรัฐอเมริกา 

เมื่อพระชนมายุได้ 5 พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร ต่อจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนเมียร์มองต์ (MERRIMENT) เมืองโลซานน์ (LASAGNA) ในปี พ.ศ. 2478 ได้ทรงเข้าศึกษาต่อที่ CEDE NOUBELLE DE LA SUES ROMANCE CHILLY ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติ ในระดับอุดมศึกษาทรงเข้าศึกษาในแผนกวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมืองโลชานน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมเชษฐาธิราช พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระนางเจ้าพี่นางเธอ 

ครั้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระนามว่า “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดีจักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมาพุเพียง 19 พรรษา เท่านั้น ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 

คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนารทนเรนทร และพระยามานวราชเทวี เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะทรงบรรลุนิติภาวะ ทั้งยังทรงมีภารกิจในการศึกษาต่ออีกอย่างหนี้ด้วย ทรงเสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 และเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ ในสาขาวิชารัฐศาสตร์แทนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องด้วยทรงคำนึงถึงพระราชภารกิจในการปกครองประเทศเป็นสำคัญ
ระหว่างที่ประทับอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิตติ์ กิติยากร ธิดาในพระวรวงศ์เธอ-กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ และหม่อมหลวงบัว กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 และได้จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสขึ้นในปี พ.ศ. 2493 และสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี
ทรงได้เข้าพิธีพระบรมราชาภิเษกในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง ภายหลังจากพระราชะธีพระบรมราชาภิเษกแล้วได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทำการรักษาพระสุขภาพอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตามคำแนะนำของแพทย์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ และทรงนิวัตกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2494 

9 เรียงความพ่อของแผ่นดิน 

พระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ท่านที่ทำเพื่อประเทศชาติ วันนี้ทีนเอ็มไทยมี 9 เรียงความพ่อของแผ่นดิน มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ
ตัวอย่างที่ 1 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง พ่อของแผ่นดิน
ตอนเด็ก ๆ ฉันมักได้ยินคำว่า “พ่อของแผ่นดิน” เสมอแต่ตอนนั้นฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรแต่ตอนนี้ฉันได้รู้แล้วว่าพ่อของแผ่นดินนั้นหมายถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช รัชกาลที่ ๙ พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน พ่อของคนไทยทั้งปวงนั้นเอง
จากที่ฉันได้ติดตามดูพ่อผู้รักและหวังดีกับลูก ๆ ตามสื่อต่าง ๆ ตลอดมานั้น ฉันก็ได้รู้ว่าพ่อของเรา ทรงตระหนักถึง การพัฒนาการศึกษาของเยาวชนและทรงคิดว่ามัน เป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ และนอกเหนือจากนี้ ยังทรงก่อตั้งกองทุนนวฤกษ์ มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อช่วยให้นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนของพ่อเอง เพื่อเป็นทุนริเริ่มในการก่อสร้างโรงเรียนตามวัดในชนบท สำหรับที่จะสงเคราะห์เด็กยากจนและกำพร้า ให้ได้มีสถานที่สำหรับศึกษาเล่าเรียน เพื่อที่จะได้เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติต่อไปในอนาคต และในเรื่องของการช่วยเหลือจังหวัดประสบปัญหาด้านต่าง ๆนั้นพ่อก็ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนจังหวัดนั้น ๆ และทรงนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปยังจังหวัดที่ประสบปัญหาต่างๆตามจังหวัดนั้นด้วย ในการเสด็จพระราชดำเนินของพ่อใน แต่ละครั้งที่ไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ทุกครั้ง จะทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่างๆ และล้วนเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น และ พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ครบครัน เพื่อพร้อมที่จะให้การรักษาพยาบาลลูก ๆ ผู้ป่วยไข้ได้ทันที นอกจากนี้พ่อยัง ทรงโปรดให้จัดเจ้าหน้าที่ออกเดินทาง ไปรักษาลูก ๆที่ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย และ ยังคงมีโครงการดี ๆเพื่อพัฒนาลูก ๆ และประเทศชาติ ออกมาอย่างมิขาดสาย อย่างเช่น โครงการเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น และโครงการนี้นี้เองที่ทำให้พ่อได้รับรางวัลสาขาต่าง ๆมากมายจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งทำให้ฉันได้เห็นและประจักษ์แล้วว่าพ่อทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล และ จากน้ำพระราชหฤทัยที่พ่อทรงได้ทำทุกอย่างเพื่อลูก ๆ กว่า ๖๐ ล้านคนทั่วประเทศของพ่ออย่างแท้จริง ทั้งนี้ทั้งนั้นในขณะนี้ก็ทรงครบการครองสิริราชสมบัติครบ ๖0 ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ นี้เอง
จากที่ฉันติดตามเรื่องราวของพ่อมาตลอดนั้นมันทำให้ฉันได้รู้ว่า พ่อทรงห่วงใย ใส่ใจ ลูกของพ่อ กว่า ๖๐ ล้านคน อย่างไม่เคยแสดง ความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า และ ถ้อถอย ออกมาให้เห็นเลยสักครั้ง ซึ่งมันทำให้ฉันประทับใจในความรักของพ่อผู้เป็นประมุข คนนี้ ใจในเสมอมา และฉันก็เคยฝันไว้ว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิตฉันคงจะมีโอกาสได้ไปกราบแทบเท้าพ่อสักครั้ง

กราบแทบเท้าพ่อของแผ่นดิน

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ตัวอย่างที่ 2 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง ตามรอยพ่อครูของแผ่นดิน
พ่อหลวงของเรา เปรียบเสมือนครูอาจารย์ผู้วางแนวทางและความรู้ให้พวกเราชาวไทย ได้เรียนรู้แล้วปฏิบัติตามในทางที่ถูกต้องและสุจริต แล้วพ่อหลวงของเราไม่เคยที่จะทำสิ่งที่ผิดเลย
แล้วยังคิดแนวทางเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ทุกยากและขาดแคน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องการออม
พ่อหลวงของเรา นั้นเปรียบเสมือนครูอาจารย์ที่เป็นผู้วางแนวทางต่างๆและความรู้ให้พวกเราชาว ไทยมากตลอด และได้เรียนรู้แล้วปฏิบัติตามในแนวทางทางที่ถูกต้องและสุจริต แล้วพ่อหลวงของเราไม่เคยที่จะทำสิ่งที่ผิดเลย แล้วยังคิดแนวทางเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ทุกยากและขาดแคน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องการออม ได้แก่ แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้คนรู้จักอดออม โครงการแก้มลิง เพื่อจะได้ชะลอน้ำเพื่อเก็บไว้ในหน้าแล้ง โครงการฝนหลวง เพื่อให้มีน้ำทำนา โครงการกันหันน้ำชัยพัฒนา เพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำ หญ้าแฝก เพื่อทำให้ป่าชายเลนสมบูรณ์ แล้วยังมีพระราชกรณียกิจอื่นๆ ที่พ่อหลวงของเราได้ทำเอาไว้เพื่อประชาชนชาวไทยทุกคน
พ่อหลวงของเรา เป็นผู้วางแนวทางต่างๆและความรู้ให้พวกเราชาวไทยมากตลอด และได้เรียนรู้แล้วปฏิบัติตามในแนวทางทางที่ถูกต้องและสุจริต เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ทุกยากและขาดแคน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องการออม เช่น แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โครงการแก้มลิง โครงการฝนหลวง โครงการกันหันน้ำชัยพัฒนา แล้วยังมีพระราชกรณียกิจอื่นๆ ที่พ่อหลวงของเราได้ทำเอาไว้เพื่อประชาชนชาวไทยทุกคน เพราะฉะนั้นเราควรรักรักหลวงเราให้มากๆ
ตัวอย่างที่ 3 เรียงความวันพ่อ : บทความ พ่อหลวงของแผ่นดิน
” เราจะครอง แผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ”
พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช 2489 ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการไว้ว่าดังนี้ และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลากว่า60ปีแล้ว ท่านทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างมิเคยเสื่อมคลาย
ตลอดระยะ เวลากว่า60ปีที่ผ่านมา ภาพที่คนไทยทุกคนเห็นอยู่ประจำคือ ท่านทรงงานหนักเพื่อประเทศไทย เพื่อประชาชนชาวไทยมาตลอดเวลา ไม่ว่าจะลำบากเท่าใด จะเป็นสถานที่ที่ทุรกันดารเพียงใด มีความอันตรายแค่ไหน แต่หากเป็นสถานที่ที่ซึ่งมีประชาชนที่ประสบความทุกข์ ความลำบาก ท่านก็ไม่รีรอที่จะเสด็จไปหาประชาชนของท่าน ท่านยอมเหนื่อย ยอมลำบาก เพียงเพราะต้องการให้ประชาชนของท่านได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องลำบาก
แล้วเราเคยทำอะไรให้ท่านมีความสุขบ้าง ตอนที่ผมพิมพ์บทความนี้ พ่อหลวงของเราพึ่งมีพระชนมายุ80พรรษาได้เพียง4วันเท่านั้น คุณลองนึกถึงคนธรรมดาที่มีอายุ80ปีดูนะครับ ตอนนี้พวกเค้าคงอยู่กับบ้าน มีลูกมีหลานคอยเลี้ยงดู ไม่ต้องออกมาทำงาน
แต่ไม่ใช่กับพ่อหลวงของเรา ครับ ท่านยังคงทรงเหนื่อยเพื่อประชาชนของท่าน แล้วท่านจะต้องเหนื่อยไปอีกนานแค่ไหนถึงพอ เมื่อไรพวกเราคนไทยถึงจะมีจิตสำนึกและคิดกันได้เสียที
พ่อหลวงของ เราทรงทำทุกอย่างเพื่อพวกเรา ท่านทรงใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ถ้าพวกคุณเคยได้อ่านเกี่ยวกับท่านมาบ้างคงจะรู้ว่าท่านนั้นทรงประหยัดมาก เพียงใด คุณเคยเห็นรูปยาสีพระทนต์ของท่านรึเปล่า? เคยเห็นรูปรถส่วนพระองค์หรือไม่? แล้วถ้าย้อนกลับมาดูที่ประชาชนของท่านล่ะ
ครับ คนไทยปัจจุบันเห็นแก่ตัว น้ำที่เรียกว่าน้ำใจเริ่มแล้งขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกๆองค์กรมีแต่การโกงกินกันเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัดทรัพยากร เข่นฆ่ากันทุกวัน รู้ไหมว่าทำให้พ่อหลวงของเราเสียใจมากน้อยเพียงใด ปากของทุกคนพูดแต่เพียงว่ารักในหลวง รักในหลวง แต่คนที่พูดแล้วแสดงออกจริงๆ ถ้าสุ่มคนมาซักล้านคน จะมีถึง100คนรึเปล่าผมยังไม่แน่ใจเลย คุณรักและบูชาในหลวงกันก็เป็นสิ่งดี แต่ท่านไม่ได้ต้องการให้พวกเราบูชาท่านนะครับ ท่านต้องการให้พวกเราทำตามท่าน พวกคุณบูชาท่านอย่างเดียวแต่ไม่ทำตามมันก็ไร้ประโยชน์
คุณลองหลับตา ด้านขวาดูนะครับ แล้วมองไปรอบๆ ครับ หลายคนคงรู้แล้วว่าท่านต้องเสียพระเนตรข้างขวาไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อมีพระชนมายุเพียง20พรรษา แล้วลองนึกดูว่า มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งต้องทรงงานหนักในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของปวงชนชาว ไทยโดยมองเห็นเพียงพระเนตรข้างซ้ายข้างเดียวมาตลอดเวลากว่า60ปี
แล้วคุณ รู้รึเปล่าครับว่า แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
นี่แหละครับ พ่อหลวงของพวกเราคนไทย ท่านทรงเป็นห่วงเป็นใยและคอยคิดถึงประชาชนของท่านตลอดเวลา แล้วเมื่อไรล่ะครับ ที่พวกเราจะได้ทดแทนพระคุณของท่าน เมื่อไรที่พวกเราจะทำอะไรเพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อย และเมื่อไรคนไทยทุกคนจะคิดกันได้ซักที
ผมขอนำส่วนหนึ่งจากบทความที่ผมเคยอ่านเจอ แต่จำไม่ได้ว่าอ่านเจอที่ไหน แต่นี่ผมนำมาจากเมลที่ผมเก็บไว้
…..สิบสองปีที่ผ่านมา……
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไป ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่
แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?
เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด
เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส
เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “หน้าที่”
เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้
เราสร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย”
เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย
เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน
และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?
80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจแต่อย่างใด
แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์
แตพระองค์ก็ยังทรงพัฒนาประเทศ
ตัวอย่างที่ 4 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง “ทำไมเราจึงรัก พระเจ้าอยู่หัว”
หนูเป็นเด็กต่างจังหวัด อยู่ปักษ์ใต้ ตั้งแต่จำความได้ในทีวี หนูก็เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งเดินนำหน้าแล้วมีผู้คนเดินตามหลังท่านมากมายไปหมด พร้อมกันนั้นก็มีผู้คนนั่งกับพื้นต้อนรับท่านทุกที่ที่ท่านไป ผู้ชายคนนั้นเป็นใครนะ จนโตหนูถึงได้รู้ว่า เขาคือผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินเกิดของหนูเอง และหนูก็เห็นพระราชกรณียกิจของท่านเยอะแยะมากมายทางทีวี จนทำให้หนูปลาบปลื้มท่านมาก ยิ่งเป็นช่วงหน้าฝน ฝนตกหนัก น้ำท่วมท่านก็เสด็จไปปักษ์ใต้เพื่อดูปัญหาความเดือดร้อน และท่านก็โปรดให้สร้างเขื่อนคลองชลประทาน ส่วนช่วงหน้าแล้งท่านก็เสด็จไปภาคอีสาน ไปดูความแห้งแล้งของคนอีสาน และท่านก็ทำฝนเทียมช่วยเหลือประชาชน
หนูได้แต่คิดตลอดเวลาว่า… ทำไมผู้ชายคนนี้ต้องลำบากตัวเองขนาดนี้ ท่านเดินทางไปทุกที่ ที่ทุรกันดารและสุดแสนจะลำบาก ท่านทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ท่านทรงเก่งมาก สามารถรู้หมดว่าในพื้นที่เมืองไทยว่าตรงไหนเป็นภูมิประเทศลักษณะไหน แอ่งน้ำ ภูเขา อย่างเช่น ใกล้บ้านหนูที่ อ.ปากพนัง ท่านก็ทำอ่างเก็บน้ำใหญ่โตมาก เพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และอำนวยประโยชน์ต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณ อ.ปากพนัง ญาติพี่น้องหนูที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นได้ประกอบอาชีพทั้งการเกษตรและเพาะ เลี้ยงสัตว์น้ำได้ทั้งปี
สำหรับตัวหนูแล้ว หนูคิดและฝันไว้ว่า สักวันหนึ่งหนูจะต้องเห็นผู้ชายคนนี้ตัวจริง ๆ สักครั้งในชีวิต แล้วหนูก็มีความพยายามมาก คือวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ซึ่งก่อนวันเกิดท่าน 1 วัน เพราะวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันพ่อแห่งชาติ หนูทราบข่าวว่าท่านจะเสด็จกลับจากวังไกลกังวล เพื่อมาร่วมงานที่ทางรัฐบาลได้จัดขึ้น หนูก็เลยมารอรับเสด็จท่านอยู่หน้าโรงเรียนสวนจิตรลดา ท่านเสด็จมาตอนเกือบ 1 ทุ่ม ท่านนั่งมากับพระราชินี พระราชินีท่านโบกมือให้หนู แต่พระเจ้าอยู่หัวนั่งนิ่งมากค่ะ แต่หนูเห็นพระพักตร์ท่านชัดมาก หนูดีใจมาก และก่อนหน้านี้ หนูก็ไปงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ที่มีผู้คนเป็นแสน หนูก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีความพยายาม หนูขอลาพักร้อนไป 1 วัน เพื่อไปเฝ้ารับเสด็จท่านที่ลานพระรูปทรงม้า หนูตื่นตั้งแต่ ตี 4 ซื้อน้ำเปล่า 1 ขวด กับ ขนมปัง 1 ถุง เพื่อไปรอรับเสด็จท่าน ถึงขนาดที่รอนั้นหนูลำบากขนาดไหนห้องน้ำก็ไม่พอ ร้อนก็ร้อน แต่หนูทนได้ค่ะ เพราะหนูคิดว่า…ท่านทรงเหนื่อยกว่าหนูมากมายนัก และท่านก็เหนื่อยมาตลอดชีวิตของท่านเพื่อประชาชนของท่าน และท่านก็ออกมาจากหน้าต่างมาโบกไม้โบกมือให้กับหนูและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ และทุกท่านก็โบกธงและพูดพร้อมกันว่า…
ขอให้ท่านทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ พร้อม ๆ กันเสียงก้องดังมาก หนูคิดว่าสิ่งที่หนูเห็นและได้ยินนั้นคือ บารมีที่ท่านได้ทำไว้ ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียงดังตะโกนโดยไม่มีใครมาบอกคนที่นั่งว่าต้องตะโกน แบบนี้นะ แต่ทุกคนก็เปล่งเสียงดังออกมาพร้อมกัน หนูรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก จนขนลุกซู่
หนูคงบรรยายความรู้สึกที่มีต่อท่านได้ไม่หมดหน้ากระดาษแค่แผ่นเดียว เพราะทุกกิจกรรม ไม่ว่าที่เมืองทอง ที่ ท้องสนามหลวง หรือซุ้มที่ถนนราชดำเนินทั้งนอกและใน และกับคนเป็นหมื่น ๆ ค่ะ ที่หนูไปต่อคิวเพื่อรอรับพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัว
วันนั้นหนูยืนต่อคิวและกลับถึงบ้าน ตี 1 หนูก็ทำมาแล้ว เพื่อพระฉายาลักษณ์ของท่านเพียงรูปเดียว และล่าสุดหนูได้ไปร่วมงานของสโมสรสันติบาลจัดขึ้น เนื่องในวันฉัตรมงคลที่ลานพระรูปทรงม้า หนูไปมาเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 53 ไปนั่งดูพระกรณียกิจของท่าน นั่งดูแล้วถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว เพราะท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมากจริง ๆ ค่ะ แล้วหนูก็กลับมาคิดว่า ตอนนี้ท่านไม่สบายอยู่ที่ รพ.ศิริราช อาจเป็นเพราะเมื่อตอนที่ท่านร่างกายแข็งแรงท่านทรงทำงานหนักมาก โดยไม่ย่อท้อเลย พอท่านอายุเพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายของท่านทรุดโทรมมาก
สำหรับหนูแล้ว หนูคิดว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านเกิดมาพร้อมบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ ท่านเหมือนพระพุทธเจ้า ซึ่งหนูคิดเองอยู่ตลอดเวลา สำหรับหนูแล้วกระดาษที่เป็นรูปท่าน หรือปฏิทินหนูไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้นอกจากเก็บไว้
อีกอย่างหนึ่งที่หนูอยากจะกล่าวในบทความนี้ คือการใช้ชีวิตแต่พอเพียงอย่างที่ท่านให้ข้อคิดไว้ ทุกวันนี้ท่านสอนเกษตรกร หากมีพื้นที่ทำกินอยู่แปลงหนึ่ง ต้องแบ่งทำมาหากินอย่างไรบ้าง ส่วนหนึ่งปลูกบ้าน ส่วนหนึ่งเลี้ยงปลา อีกส่วนหนึ่งปลูกผัก หนูเองก็ใช้ชีวิตอย่างนั้น หนูทำงานอยู่ที่นี่ ถือว่าเงินเดือนหนูน้อยก็จริง แต่หนูก็ใช้ชีวิตไม่ฟุ่มเฟือย แบ่งเงินเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งเก็บฝากแบงค์ประจำ ส่วนหนึ่งเก็บไว้ใช้จ่ายภายใน 1 เดือน อีกส่วนหนึ่งก็ซื้อของให้รางวัลตัวเองบ้าง หนูอยากให้ทุกคนทำอย่างนี้ค่ะ จะได้สบายไม่มีหนี้สินกัน
สุดท้ายนี้ หนูคิดว่าเพื่อเป็นการตอบแทนท่าน หนูไม่ต้องคิดทำโครงการใหญ่โตอลังการหรอกค่ะ แค่หนูเป็นคนดีในสังคม และไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็เพียงพอแล้วค่ะ ท่านจะได้สบายใจ ไม่เครียด และจะได้ไม่มีผลต่อกระทบต่อร่างกายของท่าน ท่านจะได้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง อยู่คู่บ้านคู่เมืองกับคนไทยทั้งประเทศตลอดไปยิ่งยืนนานค่ะ
ตัวอย่างที 5 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง “พ่อหลวง ของปวงชน”
“ในหลวง” เป็นชื่อที่ชาวไทยเรียกติดปาก และเป็นขวัญใจของชาวไทยมาโดยตลอด เพราะท่านทำให้เราได้ทุกอย่าง ไม่ว่าท่านจะเหน็ดเหนื่อยจะอ่อนจะเพลีย แต่ท่านก็ไม่เคยที่จะหยุดทำเพื่อประชาชนแม้แต่ครั้งเดียว และท่านทรงมีพระราชกรณียกิจต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น พระราชกรณียกิจด้านศาสนา ด้านความมั่นคงภายในประเทศ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและอีกมากมาย ท่านทรงตั้งพระทัย ทำพระราชกรณียกิจอย่างดี เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
พ่อหลวงของแผ่นดิน ท่านทรงประสูติเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม ชาวไทยจึงถือว่าวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติ ท่านทรงสนพระทัยในเรื่องดนตรีสากลมาก ท่านทรงชอบเป่าแซ็กโซโฟน ท่านมีพระราชกรณียกิจด้านการศึกษา ท่านทรงตระหนักดีว่า การพัฒนาการศึกษาของเยาชนนั้น เป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ จึงทรงประกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทรัพย์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลให้เป็นทุนสำหรับการศึกษาในแขนง วิชาต่าง ๆ เพื่อให้นักศึกษาในประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดแต่ประการใด เพื่อจะได้นำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศชาติต่อไป
นอกเหนือจากนี้แล้ว ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินการจัดทำสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนขึ้น ยังมีพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความห่วงใยประชาชนชาวไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งพระองค์ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข ดังพระราชดำรัสว่า
“ถ้าคนเราสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศไทยก็คือพลเมืองนั่นเอง”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงและเอื้ออาทรต่อทุกข์สุขของพสกนิกร อย่างจริงจัง และยังมีพระราชกรณียกิจด้านศาสนา พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในการเปิดพิธีเนื่องในวโรกาสต่าง ๆ อาทิเช่น พระราชพิธีบำเพ็ญการกุศล ทรงสนันสนุนให้มีการสร้างศาสนสถาน เนื่องจากทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี
ในหลวงท่านทรงทำเพื่อเราตั้งมากมายโดยไม่หวังผลตอบแทน ท่านเพียงอยากเห็นทุกคนเป็นคนดี ท่านก็สุขใจ ดังนั้นเราควรทำดีเพื่อตอบแทนท่านให้มากที่สุด ทำตามหลักคำสอนของท่าน รู้จักการพอเพียง การอดออม ปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบวินัย ไม่นำความเดือดร้อนมาสู่ประเทศชาติให้ท่านสบายใจ ให้ท่านหายเหนื่อยจากการทำงาน หายเมื่อยจากการเยี่ยมประชาชน หายเพลียจากการอดนอน เพราะทรงทำงานเพราะท่านคือพระมหากษัตริย์ในดวงใจและเป็นพ่อหลวงของปวงชน
ตัวอย่างที่ 6 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง เรารักนายหลวง
วันที่ 5 ธันวาของทุกๆ ปี ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี หรือจะนับไปอีกกี่ปี ก็ไม่มีใครสักคนที่จะลืมเลือนไปได้ว่า วันนี้เป็นวันอะไร ทุกคนจะมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่าเป็น “วันพ่อ” ของพวกเราชาวไทยทุกคน แต่ส่วนตัวของผมนั้น วันนี้นอกจากจะเป็นวันพ่อแล้ว เป็นวันที่ผมรู้สึกภูมิใจมากที่สุด เพราะว่า วันนี้เป็น “วันเกิดของผม” แม่เล่าให้ฟังว่า เป็นวันที่แม่พยายามไม่อยากให้ผมเกิดในวันนี้เลยเพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะ สม แต่เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็แสดงว่าเราโชคดีที่สุดแล้ว ขอให้เราภูมิใจมากที่สุด และทำตนเป็นคนดี สิ่งนี้แหละ ผมจึงคิดว่าเป็นวันที่สำคัญมากสำหรับผม ผมจะนำพระบรมราโชวาทของนายหลวงมาดำเนินชีวิตให้ดีต่อไป ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินคับ เราคนไทยโชคดีมากกว่าประเทศใดในโลกที่มีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทรงทรงงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยมิได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย คนไทยทุกคน ขอให้พระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุยิ่งยืนนานอยู่กับชาวไทยไปนาน ๆ ซึ่งผมจะปฏิบัติตนเป็นคนดี และจะทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดที่ผมจะทำได้
สิ่งที่ผมรู้จักที่มาจากทรงงานของท่านก็คือ กำเนิดฝนหลวง เมื่อทรงสัมผัสความทุกข์ซับซ้อนของประชาชนอันเนื่องมาจากเรื่องของ “น้ำ” อันเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้บัด นั้นมีพระชนมพรรษาเพียง28 พรรษา และเพิ่งเสด็จพระราชดำเนินอีสานครั้งแรกในพระชนมชีพ ก็ทรงเฝ้าครุ่นคิดถึงแต่วิธีที่จะแก้ไขปัญหาให้ชาวอีสานปัญหาที่ขัดแย้งกัน เอง เมื่อมีน้ำ น้ำก็มากไป ท่วมป่าจากภูเขาไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งไว้ได้แต่เมื่อน้ำหมดก็แห้งแล้งอย่างที่ สุดเพราะไม่มีฝนตกลงมาทรงบันทึกไว้ว่า “ต้องสร้างเขื่อนเล็กๆ (Check dams) จำนวนมาก ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาต่างๆ จะช่วยให้กระแสน้ำค่อยไหลอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเล็กๆสิ่งนี้จะแก้ไขปัญหาแห้งแล้ง ได้ ในฤดูฝนน้ำจะถูกเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำและจัดสรรน้ำให้ในฤดูแล้ง”ส่วนปัญหา เรื่องฝนแล้งนั้น” ข้าพเจ้าได้แหงนดูห้องพัก และพบว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่านพื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาในท้องถิ่นนั้น ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการทำฝนเทียม
ฝนหยาดแรก อีก 17 ปีต่อมา “ฝนเทียม” ตามพระราชดำริในวันเสด็จฯ เยี่ยมอีสานก็กลายเป็น”ฝนหลวง”ที่หยาดลงมาสร้างความชุ่มฉ่ำทั้งแผ่นดินครั้ง แรก ในวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2515วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางแผนสาธิตการทำฝนด้วย พระองค์เอง จนเกิด “ฝนหลวง” ตกลงมาเป็นผลสำเร็จ ทำฝนเทียมทั่วประเทศด้วยพระองค์เองทรงต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อให้ราษฏรได้มี “น้ำ”เพราะ “การมีน้ำ ” นั้นหมายความถึง”การมีชีวิต”
นายหลวงของเราทำ อะไรอีกมากมายให้กับประชาชน นี่ยังเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแต่ที่ผมหยิบเรื่องนี้มาเล่า เพราะเชื่อว่าทุกชีวิตต้องการน้ำ ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น คน หรือ พืช หรือ สัตว์ ดังนั้นให้ถามตนเองว่าทำอะไรเพื่อนายหลวงบ้างหรือยัง หากยังให้รีบทำซะเพราะเวลาของเรามีน้อยมาก และให้ฐานะตัวแทนของคนไทย ขอให้พระองค์มีพระชนมพรรษายิ่งยืนยานและเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดชั่ว กาลนาน ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยโปรดดลบันดาลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงพระ เกษมสำราญปราศจากโรคภัย มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
ตัวอย่างที่ 7 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง พ่อของแผ่นดิน
พ่อบอกพ่อสอนเราหลายอย่าง เว้นอยู่อย่างเดียวที่พ่อไม่เคยบอก ก็คือ “ ให้เราทุกคนรักพ่อ ” แต่เราก็รู้สึกด้วยหัวใจเราเองจากสิ่งที่พ่อทำ
เราเคยสงสัยรึเปล่าว่า ทำไมเราเกิดมาต้องมีพ่อทั้งสองคน? ซึ่งเราทุกคนชาวไทยมีพ่อคนนี้เป็นพ่อเหมือนอย่างเรา พ่อที่เราพูดถึงอยู่นี้ก็คือ ก็คือ พ่อหลวงของทุกๆคน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงเป็นมากกว่าพระมหากษัตริย์ เพราะทรงเป็นพ่อ และทรงเป็นมากยิ่งกว่าพ่อ และทรงให้มากกว่าชีวิต พ่อคนเป็น ผู้คิด ผู้สร้าง หลักนำใจเพื่อใช้ชีวิตให้เรารู้จักเพียงพอ ให้เรารู้จักถูกผิด ตามเส้นทางชีวิตของพ่อ ในหลวงของเราทรงงานหนักมาโดยตลอด สิ่งที่พ่อทำก็เพื่อความสุขของประชาชนชาวไทย พ่อหลวงเข้าถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า ทรงห่วงใยและให้ความช่วยเหลือประชาชนในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง สอนให้เราบริหารจัดการ ให้อยู่อย่างพอเพียงตามอัถภาพของแต่ละคน เมื่อน้ำท่วมก็หยิบยื่นความช่วยเหลือมาโดยตลอด และเมื่อเกิดภัยแล้งพระองค์ก็ทรงมีโครงการฝนเทียม เพื่อแก้ไขภัยแล้งให้กับประชาชนชาวไทย เพื่อให้มีน้ำใช้ น้ำบริโภค น้ำเพื่อใช้ในการเกษตร ทำให้ประชาชนมีอยู่มีกิน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สิ่งที่พ่อทำก็เพื่อความสุขสบายของลูกๆของพระองค์ พ่อทรงเหนื่อยเรารับรู้ได้ แต่พระองค์ไม่เคยตรัสเลยสักคำว่า “เหนื่อย” จนบางครั้งเราก็อดคิดไม่ได้ว่า เราทำงานยังรู้สึกเหนื่อย แล้วพ่อหลวงล่ะทรงงานมากกว่าเราเป็นล้านเท่า พ่อจะเหนื่อยสักแค่ไหน พ่อเคยพักบ้างไหม เพราะที่เราเห็นกันทุกวัน พระองค์ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย วันหนึ่งๆต้องเสด็จไปไม่รู้กี่ที่ สิ่งที่พ่อทำ พ่อให้เรา มันบรรยายไม่ถูก แต่เชื่อว่าลูกๆทุกคนรับรู้มันด้วยใจ จะมีลูกคนไหนในผืนแผ่นดินไทยนี้ที่จะไม่รักพ่อบ้าง? เพราะสิ่งที่เราเห็นมันก็ยืนยันได้ว่า พ่อรักลูกทุกๆคนอย่างหาที่สุดไม่ได้ สำหรับดิฉัน รักพ่อหลวงเพราะพ่อทรงสอนให้ดิฉันรักตัวเอง ตั้งแต่การใช้ชีวิตที่ถูกที่ชอบ พ่อมีธรรมะ การประกอบสัมมาอาชีวะ การรู้จักความพอเพียงและพอดี รักที่พระองค์ทรงสอนให้ดิฉันรักคนอื่น(พี่น้องร่วมแผ่นดิน) โดยปราศจากอคติ และไม่คำนึงถึงความแตกต่าง ไม่ว่าจะด้วยเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะทางสังคม แม้กระทั่งลัทธิทางการเมือง รักพ่อที่ทรงสอนให้ดิฉันรักธรรมชาติ รักป่าไม้ รักต้นน้ำลำธาร รักผืนดิน รักสิ่งแวดล้อมรวมทั้งสัตว์ต่างๆ ดิฉันรักพ่อหลวงก็เพราะพระองค์ทรงสอนให้ดิฉันรักและภูมิใจที่เกิดมาเป็นคน ไทย ในชาติไทยที่มีความร่มเย็นเป็นสุขด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ พระบารมีที่เกิดจากน้ำพระราชหฤทัย น้ำพักน้ำแรง มันสมอง หยาดเหงื่อ ของพระองค์ ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ครองราชย์ พระเมตตาของพระองค์เปี่ยมล้นมากยิ่งนัก พ่อทำเพื่อลูกมากมายเพียงนี้ แล้วทำไมดิฉันถึงไม่รักพ่อหลวงล่ะคะ
ภูมิใจและดีใจที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อหลวง สิ่งที่ลุกจะตอบแทนให้พ่อ มันคงเทียบเท่ากับสิ่งที่พ่อ ทำให้ลูกไม่ได้ แต่ลูกคนนี้ขอสัญญาว่าจะเป็น “คนดี” ให้พ่อภูมิใจ จะเดินตามเส้นทางของพ่อและลูกจะขอเป็นข้าฯฝ่าพระบาทของพ่อทุกชาติไปวันนี้ สิ่งที่ลูกอยากบอกพ่อก็คือ “ ถึงพ่อจะไม่เคยบอกเคยสอนให้รักพ่อ แต่ลูกก็รักพ่อสุดขั้วหัวใจของลูกจริงๆพ่อ”
ตัวอย่างที่ 8 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง “พ่อของแผ่นดิน”
มีเพื่อนคนรัสเซียหลายคนถามฉันว่า ในหลวงคือใคร ทำไมคนไทยถึงรักและเทิดทูนกษัตริย์พระองค์นี้มาก ขนาดเรียกว่า “พ่อ” ฉันยิ้ม และไม่รีรอที่จะอธิบายด้วยความภาคภูมิใจถึงความเก่งและความดีของพ่อคนนี้ของฉัน (ถึงจะมีปัญหาในด้านภาษาบ้างก็ตาม) ฉันทั้งโชว์รูปภาพจากอินเตอร์เน็ต,มิวสิควีดีโอเพลงเกี่ยวกับในหลวง ทำให้ทั้งฉันและเพื่อนขนลุก ในความดีที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์พระองค์นี้
เพราะหากกล่าวถึงกษัตริย์แล้ว คงนึกถึงภาพคนที่เกิดในวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ เกิดมาก็สบายทันที มีข้าทาสบริวารคอยรับใช้ แต่ในหลวงของเรากลับเห็นภาพที่แทบจะตรงกันข้าม ฉันเห็นภาพที่พระองค์ทรงก้มผูกเชือกรองเท้าเอง ภาพเหงื่อที่ไหลถึงปลายจมูก ภาพพระองค์ทรงงาน กำแผนที่อยู่ในพระหัตถ์ ภาพพบปะเยี่ยมประชาชนที่อยู่ห่างไกลทุรกันดาร ภาพเหล่านี้ประทับตราตรึงอยู่ในจิตใจของฉัน ในหลวงเหมือนพ่อที่คอยห่วงใยลูก คอยติดตามดูแล ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ และแก้ไขในทุกสถานการณ์เหมือนกับที่พระองค์ทรงตรัสไว้ตอนขึ้นครองราชย์ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม์ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นอกจากนี้ฉันยังเล่าว่า ในหลวงทรงเป็นแบบอย่าง หรือไอดอลของฉันเลยทีเดียว เพราะท่านไม่เพียงทรงตรัสสอนเรื่องต่างๆ แต่ยังทรงพระพฤติพระองค์เป็นแบบอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น เรื่องความประหยัด หลายครั้งฉันโชว์ภาพหลอดยาสีฟันที่ถูกรีดจนแบบสนิทให้เพื่อนดู บางคนพอเห็นก็หัวเราะ แต่หลังจากได้รู้ว่า นี่คือหลอดยาสีพระทนต์ของกษัตริย์ก็ถึงกับสงบนิ่ง ฟังฉันเล่าต่ออย่างสนใจว่าเหตุใดกษัตริย์ต้องประหยัดขนาดนี้ ฉันคิดว่าท่านทรงทำตามที่ท่านตรัสสอนเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” คือ ไม่ใช่ประหยัดจนไม่ใช้อะไรเลย แต่ให้ใช้สิ่งที่มีอยู่อย่างคุ้มค่ามากที่สุดต่างหาก หรือแม้แต่เรื่องความไม่ถือพระองค์ ที่ทรงตรัสกับราษฎรอย่างเป็นกันเอง จนกลายเป็นเรื่องเล่าขำขันที่อ่านแล้วก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ และใกล้ชิดกับพ่อหลวงมากขึ้น อีกเรื่องที่ทรงเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่องที่สุด คือความกตัญญู ภาพในหลวงทรงประคองสมเด็จย่า หรือแม้แต่เข็นรถเข็นให้ ทั้งที่มีบริวารพรักพร้อม แต่ยังตรัสกับมหาดเล็กว่า “แม่เรา เราดูแลเองได้” เรื่องที่ในหลวงไปเสวยอาหารกับแม่อาทิตย์ละห้าวัน, ทรงกอดแม่หรือให้แม่หอมแก้ม เรื่องเหล่านี้ แม้แต่ประชาชนคนธรรมดายังทำได้น้อยกว่าในหลวง กษัตริย์ที่ทรงมีพระกรณียกิจมากมายทุกวัน นั่นทำให้สุดท้ายแล้วไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนไทยถึงรักในหลวงขนาดนี้
มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 เป็นวันงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี พ่อของฉันชวนฉันไปดูในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม จำได้ว่า เช้าวันนั้นอากาศร้อนมาก และคนต้องเยอะแน่นอน ฉันบอกพ่อไปทันทีว่า “อยากดูในหลวงดูในทีวีเถอะพ่อ เห็นชัดกว่าอีก” แต่พ่อบอกว่า “พ่อไม่ได้อยากเห็นในหลวง แต่อยากให้ในหลวงเห็นพ่อ เห็นประชาชนชาวไทยว่ามากขนาดไหนที่จงรักภักดีต่อท่าน” คำตอบนั้นทำให้ฉันรีบลุกออกไปกับพ่อทันที วันนั้นทั้งคนเยอะและร้อนมากอย่างที่ฉันคิดจริงๆ แต่จิตใจของฉันและคนไทยทุกคนก็ชุ่มฉ่ำทันที เมื่อในหลวงออกมาโบกพระหัตถ์ ทุกคนพร้อมใจเปล่งเสียงตะโกนกึกก้อง “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ…” หลายคนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เป็นความรู้สึกที่เต็มตื้นอยู่ในจิตใจ จนฉันต้องกลับมาขอบคุณพ่อหลายครั้งที่ทำให้ฉันมีวันนั้น
และวันนี้ ถึงฉันจะอยู่ห่างไกลถึงประเทศรัสเซีย แต่ฉันก็ได้ทำหน้าที่ของลูกคนไทย ได้เผยแพร่เรื่องราวความดีของพ่อหลวงของฉัน พ่อของแผ่นดิน.
ตัวอย่างที่ 9 เรียงความวันพ่อ : เรื่อง “พ่อของแผ่นดิน”
“อันที่จริงเราชื่อ “ภูมิพล” ที่แปลว่า “กำลังของแผ่นดิน” แม่ก็อยากให้เธออยู่กับดิน เมื่อฟังคำพูดแล้วกลับมาคิด ซึ่งแม่คงจะสอนเราและมีจุดมุ่งหมายว่าอยากให้ติดดินและอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน” …
จากพระราชดำรัสของในหลวงข้างต้น ทำให้ฉันระลึกอยู่เสมอว่า ตั้งแต่วินาทีแรกที่ในหลวงทรงอุทิศตนเป็น “ภูมิพล” ผู้เป็นพลังของแผ่นดินที่พร้อมด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์ก็ทรงปฎิบัติหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ด้วยดีเสมอมา พระองค์ทรงอุทิศพระวรกาย เพื่อดินก้อนเล็กๆ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างพวกเรา ทรงเป็นทุกอย่าง เป็นพ่อที่ลำบากตรากตรำ สละแรงกายดูแลลูกๆ ด้วยความรัก มาเป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปี โดยมิได้คำนึงถึงว่าราษฎรของพระองค์จะเป็นใครมาจากไหน เชื้อชาติใด เพราะพระองค์ทรงยึดมั่นในปณิธานในการที่จะรวมดินก้อนเล็กๆ ในแผ่นดินนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อกล่าวถึงในหลวง สิ่งที่ฉันนึกถึงเป็นอันดับแรก คือ กษัตริย์นักพัฒนา ภาพที่ฉันเห็นบ่อยครั้งตามสื่อต่างๆ เป็นภาพที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปยังถิ่นทุรกันดารทั่วราชอาณาจักร ภาพที่เหล่าพสกนิกรชาวไทยคอยต้อนรับการเสด็จฯ มาของพระองด์ด้วยหัวใจ ภาพธงไตรรงค์ของเหล่าราษฎรที่โบกสะบัดพร้อมด้วยรอยยิ้มและร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ และภาพที่พระองค์ทรงหลั่งพระเสโทในขณะทรงงาน เป็นภาพที่ได้ประทับอยู่ในใจของฉันและปวงชนชาวไทยตลอดมา แต่ถึงแม้พระองค์จะทรงงานหนักเพียงใด พวกเราก็สามารถเห็นรอยแย้มพระสรวลปรากฏอยู่บนพระพักตร์ที่เกิดความสุขของพระองค์ ที่ทรงได้ทอดพระเนตรเห็นพสกนิกรอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
การที่ในหลวงได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยืยนราษฎรในถิ่นทุรกันดารอยู่สม่ำเสมอเป็นเวลายาวนาน ทรงได้สัมผัสความทุกข์ยาก จึงทำให้พระองค์ทรงเข้าใจปัญหาต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง จากนั้นพระองค์ก็ทรงใช้พระปรีชาสามารถในการแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนต่างๆ เหล่านั้น โดยเฉพาะด้านเกษตรกรรม ด้วยการก่อตั้งโครงการใน
พระราชดำริต่างๆ อาทิ “โครงการฝนหลวง” เป็นการทำฝนเทียมเพื่อบรรเทาภัยแล้งให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ เพื่อการทำเกษตรกรรมและการใช้สอยในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังมี “โครงการหญ้าแฝก” ซึ่งเป็นโครงการแก้ปัญหาดินที่ถูกชะล้างจากฝน โดยการยึดหน้าดินทำให้ดินกักเก็บน้ำได้มากขึ้น “โครงการแก้มลิง” เพื่อช่วยในการระบายน้ำท่วมจากพื้นที่ตอนบนโดยใช้หลักการน้ำไหลทางเดียว “โครงการแกล้งดิน” แก้ไขดินที่มีสภาวะเป็นกรด เพื่อให้เกษตรกรสามารถ
นำดินไปใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกต่อไป เป็นต้น นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงริเริ่มและเชื่อมั่นใน “แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง” ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้พสกนิกรชาวไทยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เพื่อการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ ให้มีความเจริญที่ไม่ฉาบฉวย แต่มีความยั่งยืนตลอดไป
ดังที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า สำหรับในหลวงแล้ว ความสุขของราษฎรชาวไทยทั้งหมดนั่นคือ ความสุขของพระองค์ และสิ่งที่พวกเราทุกคนควรกระทำก็ คือตอบแทนพระองค์ท่านที่ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเรามาตลอดชีวิตบ้าง ใช่หรือไม่? แล้วทำไมสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในปัจจุบัน จึงได้ขัดต่อปณิธานของพ่อในเรื่อง “ความสามัคคี” ยิ่งนักเล่า? … ฉันอยากเห็นชาวไทยทุกคนรักประเทศชาติ และมีความสมัครสมานสามัคคี กระทำตนเป็นดั่งดินก้อนเล็กๆ หลากหลายสีที่รวมเป็นแผ่นดินเดียวกัน เป็น สีเดียวกัน เป็นดินที่สร้างประโยชน์ให้แก่แผ่นดินสยามแห่งนี้ ให้สมกับที่ “พ่อของแผ่นดิน” ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีเสมอมา ในวันพ่อปีนี้ ฉันจึงขอเชิญชวนให้พี่น้องชาวไทยทุกคนร่วมกันสร้างความสามัคคี ร่วมกันกระทำความดี ฉันแน่ใจว่าความดีของพวกเราชาวไทยจะรวมกันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เปรียบเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดแด่พระองค์ท่าน ส่วนตัวฉันเองก็จะขอตั้งปณิธานว่าจะปฏิบัติตัวเป็นคนดีเป็นประโยชน์ต่อสังคม และจะเดินตามรอยเท้าพ่อตลอดไป

80 เรื่องของในหลวงที่เราอาจไม่เคยรู้ มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45 น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม ‘ภูมิพล‘ ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษาทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า ‘H.H Bhummibol Mahidol’หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า ‘แม่‘
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทยทรงตั้งชื่อให้ว่า “บ๊อบบี้”
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ทีมากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก ‘การให้ ‘ โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน ‘ เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี ‘ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า ‘ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน‘
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก ‘การเล่น ‘ สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ ‘แสงเทียน ‘ จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง ‘เราสู้‘
26. รู้ไหม…? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯรพ.ภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘นายอินทร์ ‘ และ ‘ติโต ‘ ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ ‘พระมหาชนก‘ ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘กีฬาซีเกมส์‘) ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ ‘กังหันชัยพัฒนา ‘ เมื่อปี 2536
32. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ! ปีแล้ว
33. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
34. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
35. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า ‘น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
36. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง ‘ฮันนีมูน ‘ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น

41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้าพอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับเมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยู่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นานค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานที่จะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรท่ามกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้

51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า ‘ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก! บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ’
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตั้งฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อจนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3×4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “นายหลวง” ภายหลัง
จึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆ ทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมี อายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุข ประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับใน หลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า”อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อ ไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์ จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่า เสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่ง รวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
78. เคยได้ยินหรือไม่ว่า ในขณะที่เกิดความทุกข์ยากกับราษฎรนั้น ในหลวงของเราก็ร้อนรุ่มพระราชหฤทัย ไม่หลับไม่นอน ไม่ทรงบรรทม แต่จะทรงคิดหาทางแก้ไขเพื่อขจัดความทุกข์นั้นให้หมดไปโดยเร็ว ในขณะที่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะข้าราชการ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความลำบากเดือดร้อนนั้น กำลังนอนหลับสบาย หรือกำลังแสวงหาความสุขโดยไม่ใส่ใจกับหน้าที่ที่ควรจะทำ ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งเหนื่อยกับปัญหาอย่างนี้
79. เคยได้ยินหรือไม่ว่า เวลาที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงงาน หรือทรงเยี่ยมราษฎรในที่ต่างๆ ไม่มีพระกระยาหาร (อาหาร) อะไรที่เลิศหรู บาง ครั้งบางหนก็เป็นเพียง ‘กะเพราไก่ไข่ดาว’ หรือ ‘ข้าวผัด’ ธรรมดาๆ นี่เอง ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น สามารถเสวยพระกระยาหารได้เลิศหรูที่สุดในแผ่นดิน หรือในโลกด้วยซ้ำ
80. ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราสามารถทำได้ เพื่อให้เป็นเครื่องแสดงว่าเรารักในหลวงจริง! อย่ารักในหลวงแต่ปาก แต่ขอให้รักด้วยใจเป็นเบื้องต้น แล้วรักด้วยการกระทำเป็นประการต่อมา และอย่าทำเพื่อพระองค์ท่านเพียงวันที่ 5 ธันวาคม เพียงวันเดียว เพราะทำวันเดียว ยังไม่ถือว่า ‘รัก’ พระองค์ท่านจริงแท้แน่นอน ทำให้ทุกวัน ตลอดปี ตลอดชีวิตได้เลยยิ่งดี ก็ดูจาก ‘ในหลวง’ เป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านไม่เคยทำเพื่อ ‘ลูก’ ของพระองค์ท่านเพียงวันเดียว !
ความดีที่ว่านั้น พอจะบอกกันเป็นหลักได้ว่า 1.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ใครเดือดร้อน, 2.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน, 3.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์ให้กับคนอื่น, 4.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์กับตัวเอง
บันทึก ๖๐ เรื่องน่ารู้ ในหลวงของเรา

วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ เป็นอีกหนึ่งวาระสำคัญของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ เพราะเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ ๖๐ ปี...ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสสำคัญยิ่งนี้ ทีมข่าวสตรีไทยรัฐ ได้ทำการรวบรวม  ๖๐ เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับในหลวงของเรา  นำมาถ่ายทอดสู่สาธารณชน โดยครอบคลุมทั่วทุกด้าน ตั้งแต่พระราชประวัติ, พระราชกรณียกิจสำคัญๆ รวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยส่วนพระองค์

๑) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเฉลิมพระ ปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
๒) เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ รัตนโกสินทร์ศก ๑๔๖ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาแพทย์อยู่
๓) ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สาม ทรงมีพระเชษฐภคินี ๑ พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๑ พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทุกพระองค์ประสูติในต่างประเทศ
๔) เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งแรกพร้อมสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อพระชนม์ได้ ๑ ชันษา ในเดือนธันวาคม ๒๔๗๑
๕) ทรงสูญเสียทูลกระหม่อมพ่อตั้งแต่ พระชนม์ไม่ถึง ๒ พรรษา โดยสมเด็จพระบรมราชชนกทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคต ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๗๒
๖) ทรงศึกษาเล่าเรียนในต่างประเทศตลอดพระชนม์ชีพ เว้นแต่ในช่วงพระชนมพรรษา ๕ พรรษา ได้เสด็จเข้าศึกษาในโรงเรียนมาแตร์เดอี ๑ ปี ก่อนเสด็จไปประทับที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
๗) ทรงจบการศึกษาชั้นประถมจากโรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซานน์, ชั้นมัธยมจากโรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออิส โรมองด์ เมืองแชลลี ซูร โลซานน์ ต่อมาในปี ๒๔๘๑ ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค กังโตนาล เมืองโลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากนั้น จึงทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเลือกแผนกวิทยาศาสตร์
๘) เสด็จนิวัติประเทศไทยครั้งที่สอง วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ ขณะมีพระชนมพรรษา ๑๘ พรรษา
๙) เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคต ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ คณะรัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์แทน แต่เนื่องจากยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จฯกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
๑๐) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่สอง หลังประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข
๑๑) ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒
๑๒) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม ในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในเดือนต่อมา
๑๓) พระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีขึ้นเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า  เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
๑๔) ทรงมีพระราชธิดา ๓ พระองค์ และพระราชโอรส ๑ พระองค์ โดยทุกพระองค์ประสูติที่เมืองไทย ยกเว้นพระราชธิดาองค์โตคือ สมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
๑๕) ทรงพระผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ และประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา ๑๕ วัน โดยทรงมีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และต่อมาได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
๑๖) เสด็จเยือนต่างประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๒ โดยเสด็จเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรก และเสด็จเยือนแคนาดาเป็นประเทศสุดท้าย ในปี ๒๕๑๐ รวมทั้งสิ้น ๓๑ ครั้ง ๒๘ ประเทศ และนับแต่นั้นมามิได้เสด็จออกนอกพระราชอาณาจักรอีกเลย
๑๗) การเสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการยาวนานที่สุดกินเวลา ๗ เดือนเต็ม มีขึ้นเมื่อปี ๒๕๐๓ โดยเสด็จเยือน ๑๔ ประเทศในภูมิภาคยุโรป และอเมริกา
๑๘) จตุรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตั้งอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเสตต์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ และสะท้อนความภาคภูมิใจของชาวเมืองเคมบริดจ์ ในฐานะที่เป็นเมืองเดียวของสหรัฐอเมริกาที่เคยมีพระมหากษัตริย์เสด็จพระราช สมภพ
๑๙) ทรงขึ้นชื่อว่าเป็นอัครศิลปิน เพราะทรงเปี่ยมด้วยพระอัฉริยภาพหลายด้าน โดยทรงศึกษาด้วยพระองค์เองจากตำราต่างๆ ในด้านจิตรกรรม ทรงเริ่มสนพระทัยวาดภาพ เมื่อพระชนมพรรษาได้ ๑๐ พรรษา และทรงวาดภาพอย่างจริงจัง เมื่อปี ๒๕๐๒ โดยมักจะทรงใช้เวลาในตอนค่ำหลังว่างจากพระราชภารกิจ แต่นับจากปี ๒๕๑๐ เป็นต้นมา ก็มิได้ทรงเขียนภาพอีกเลย
๒๐) เมื่อปี ๒๕๒๕ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ จำนวน ๔๗ ภาพ ไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่พระมหากษัตริย์ ซึ่งยังทรงดำรงสิริราชสมบัติอยู่ ทรงแสดงภาพจิตรกรรมในฐานะศิลปินเดี่ยว
๒๑) ด้านประติมากรรม ทรงศึกษาค้นคว้าเทคนิควิธีการต่างๆ ทั้งงานปั้น, หล่อ และทำแม่พิมพ์ งานประติมากรรมฝีพระหัตถ์แบบลอยตัว เก็บรักษาที่ตู้บนพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มี ๒ ชิ้นคือ รูปปั้นผู้หญิงเปลือยนั่งคุกเข่า ปั้นด้วยดินน้ำมัน และพระรูปปั้นครึ่งพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ
๒๒) โปรดการถ่ายรูปและถ่ายภาพยนตร์ เช่นเดียวกับสมเด็จพระ บรมราชชนนี โดยทรงเป็นนักถ่ายรูปที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง ทรงจัดทำห้องมืดขึ้นที่ชั้นล่างตึกทำการสถานีวิทยุ อ.ส. ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ส่วนใหญ่เป็นแบบฉับพลันทันเหตุการณ์ ซึ่งทรงบันทึกไว้ระหว่างเสด็จฯไปตามสถานที่ต่างๆ
๒๓) ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทุกภาพ จะทรงจัดให้มีหมายเลขประจำภาพ เช่น ภาพครอบครัว, พระราชพิธี, ภาพราษฎรที่มาเฝ้า รวมถึงภูมิประเทศต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
๒๔) ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานที่ใด จะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ ๓ สิ่งคือ แผนที่ ซึ่งทรงทำขึ้นเอง, กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ โดยเวลาทรงงานจะทรงใช้ยางลบเสมอ เมื่อทรงพบเห็นอะไรก็จะทรงขีดเขียนลงบนแผนที่ เช่นเดียวกับที่สมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงกระทำมาก่อน
๒๕) ทรงเคยประดิษฐ์ของเล่นด้วยพระองค์เอง เป็นเครื่องร่อน และเรือรบจำลอง
๒๖) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกของโลก ที่ทรงได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์ คิด ค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือ กังหันน้ำชัยพัฒนา เมื่อปี ๒๕๓๖
๒๗) กีฬา โปรดของพระ องค์คือ แบดมินตัน, สกี และเรือใบ
๒๘) เมื่อปี ๒๕๐๗ ทรงต่อเรือใบที่ใช้งานได้จริงลำแรก เป็นเรือมาตรฐานสากลประเภท เอ็นเตอร์ไพรส์ คลาส พระราชทานชื่อว่า  ราชปะแตน  และปล่อยเป็นปฐมฤกษ์ในคูน้ำรอบสวนจิตรลดา
๒๙) ทรงต่อเรือใบพระที่นั่งด้วยพระองค์เองมาแล้วหลายลำ รวมถึงเรือชื่อ มด, ซุปเปอร์มด และไมโครมด ซึ่งจดทะเบียนระดับนานาชาติประเภท Moth Class ที่ประเทศอังกฤษ
๓๐) นอกจากจะทรงโปรดเครื่องดนตรีเป่าทุกชนิดแล้ว ยังทรงกีตาร์และเปียโนด้วย ทรงเป็นผู้นำด้านการประพันธ์เพลงสากลของเมืองไทย โดยใส่คอร์ดดนตรีแปลกใหม่และซับซ้อน ทำให้เกิดเสียงประสานที่เข้มข้น
๓๑) เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงซื้อคือ คลาริเน็ต เมื่อพระชนมพรรษา ๑๐ พรรษา
๓๒) ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา ๑๘ พรรษา โดยเพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ  แสงเทียน  และจนถึงขณะนี้ พระราชนิพนธ์เพลงไว้แล้ว ๔๗ เพลง
๓๓) เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๙ ทรงเริ่มใช้คอมพิวเตอร์พระราชนิพนธ์ คำร้องและโน้ตเพลงครั้งแรก
๓๔) ทรงพระราชนิพนธ์เพลงประจำมหาวิทยาลัยหลายแห่ง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
๓๕) ทรงตั้งวงดนตรี  อ.ส.วันศุกร์  ย่อมาจากชื่อพระที่นั่งอัมพรสถาน สถานที่ทรงก่อตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง ส่วนวันศุกร์คือ วันที่ทรงดนตรีเป็นประจำ
๓๖) ทรงมีพระปรีชาสามารถโดดเด่นด้านภาษา โดยทรงถนัดทั้งภาษาฝรั่งเศส, เยอรมัน และอังกฤษ
๓๗) นอกจากจะทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้หลายเรื่อง อาทิ พระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชกิจรายวันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และเรื่อง  เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ยังทรงอุทิศเวลาให้ กับพระราชนิพนธ์แปลด้วย เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ, ติโต และพระมหาชนก ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษจากพระไตรปิฎก
๓๘) พระราชนิพนธ์เรื่อง  พระมหาชนก  เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ๒๕๓๑ ทรงมีพระราชประสงค์ให้จัดพิมพ์ในโอกาสพระราชพิธีฉลองปี กาญจนาภิเษก เมื่อปี ๒๕๓๙
๓๙) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ทรงขับรถยนต์ พระที่นั่งด้วยพระองค์เอง โดยเป็นระยะทางไกลจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดเชียงใหม่
๔๐) เมื่อวันเสาร์ที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดของประเทศไทย
๔๑) เสด็จฯทรงเปิดโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคลสายแรกของประเทศ และประทับรถไฟใต้ดิน เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๗
๔๒) ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตร เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์, ดีโซฮอล์ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี
๔๓) ทรงมีสุนัขทรงเลี้ยง ๓๔ ตัว มีคุณทองแดง สุวรรณชาด เป็นสุนัขทรงโปรด ได้รับฉายาว่า สุนัขประจำรัชกาล
๔๔) ทรงช่วยเหลือประชาชนให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ด้วยการสนับสนุนให้เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่เกษตรกร ทำให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างยั่งยืน
๔๕) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการแรกคือ โครงการสร้างถนนเข้าสู่หมู่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน
๔๖) ทรงริเริ่มโครงการนาข้าวทดลอง ในบริเวณสวนจิตรลดา จากนั้นทรงริเริ่มโครงการโรงโคนม จัดตั้งเป็นโรงโคนมสวนจิตรลดา เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่การเลี้ยงโคนมอย่างถูกวิธี
๔๗) จนถึงปัจจุบัน มีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้วเกือบ ๓ พันโครงการ มีทั้งเรื่องการศึกษา, สิ่งแวดล้อม, สาธารณสุข, สวัสดิการสังคม และชลประทาน
๔๘) โครงการหลวง เป็นโครงการที่ทรงริเริ่มขึ้น เมื่อปี ๒๕๑๒ เพื่อช่วยเหลือชาวเขาทางภาคเหนือให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทน
๔๙) เนื่องจากทรงห่วงใยพสกนิกรที่ต้องทนทุกข์จากการอาศัยในถิ่นทุรกันดารขาดแคลน น้ำ จึงทรงริเริ่มโครงการฝนหลวง โดยทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าครั้งแรก ที่บริเวณวนอุทยานเขาใหญ่ เมื่อปี ๒๕๑๒
๕๐) ทรงริเริ่มโครงการเพื่อการศึกษาไว้มากมาย โดยทรงตั้งทุนภูมิพลพระราชทานทุนการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ส่วนทุนเล่าเรียนหลวง ริเริ่มขึ้นในสมัย ร.๕ และยกเลิกไปเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ภายหลังทรงรื้อฟื้นขึ้นใหม่ ในปี ๒๕๐๘ เพื่อส่งนักเรียนไทยไปศึกษาในต่างประเทศ นำความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเมือง
๕๑) โรงเรียนร่มเกล้าแห่งแรกตั้งขึ้น เมื่อปี ๒๕๑๕ ณ บ้านหนองแคน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
๕๒) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามภูมิภาคต่างๆ รวม ๖ แห่ง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาชนบท
๕๓) โครงการพระดาบส เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จัดตั้งขึ้นปี ๒๕๑๙ เพื่อให้การศึกษาแก่บุคคลทั่วไป ไม่จำกัดเพศ วัย และวุฒิการศึกษา
๕๔) ในปี ๒๕๓๕ องค์การอนามัยโลก ได้ทูลเกล้าฯถวายเหรียญเทิดพระเกียรติ ในฐานะที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้านสุขภาพอนามัยเพื่อปวงชนชาว ไทยอย่างกว้างขวาง
๕๕) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหน่วยรักษาพยาบาล ที่ปากทางเข้าเขตพระราชฐานเกือบทุกแห่ง โดยไม่คิดค่ารักษา
๕๖) ชาวบ้านจำนวนมากทุกข์ทรมานจากโรคฟัน จึงทรงให้จัดตั้งหน่วยทันตแพทย์เคลื่อนที่
๕๗) ทรงก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการพัฒนาประเทศไว้หลายแห่ง รวมถึง มูลนิธิชัยพัฒนา เน้นช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาเร่งด่วน ซึ่งทางราชการไม่สามารถดำเนินการพัฒนาได้ทันที
๕๘) โครงการแก้มลิง เป็นโครงการที่ทรงคิดค้นเพื่อระบายน้ำท่วมขัง และกักน้ำไว้ใช้ในยามแห้งแล้ง
๕๙) ในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ทรงพระราชทานปรัชญาสำคัญแก่ประชาชนชาวไทย นั่นคือ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการดำรงชีพอย่างพอเพียง โดยยึดหลักทางสายกลาง
๖๐) ล่าสุด ทางสหประชาชาติ นำโดย  โคฟี อันนัน  ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล  ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก ที่ยูเอ็นยกย่องว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ซึ่งทรงริเริ่มปรัชญาสำคัญๆไว้มากมาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการชื่นชมไปทั่วโลก และมีหลายประเทศนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการพัฒนา